วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ผู้แต่ง

วุฒิกร  จิตรวุฒิโชติ

Ignition Shop

ห้ามคัดลอกข้อความ รูปภาพ หรือ ส่วนอื่นส่วนใดไปเผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาติ   

กดตรงนี้เพื่อดูรายละเอียดสินค้า

คอยล์จุดระเบิด 

 คอยล์จุดระเบิด  ทำหน้าที่สร้างไฟแรงสูง เพื่อให้เกิดการกระโดดกระแสไฟที่เขั้ยวหัวเทียน ประกายไฟที่เกิดขึ้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ให้เกิดการเผาไหม้ในห้องเครื่องแล้วทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ องค์ประกอบของการเผาไหม้มี 3 อย่าง คือ เชื้อเพลิง อากาศ และ ประกายไฟ  

โครงสร้างของคอยล์จุดระเบิด

   - ภายในคอยล์จุดระเบิด มีโครงสร้างเป็นหม้อแปลงแบบ Step Up ทำหน้าที่ยกระดับแรงดันไฟจากแบตเตอรี่ 12 โวลท์ ให้มีค่าอยู่ในช่วงประมาณ 30,000 - 40,000 โวลท์  ค่าแรงดันไฟสูงนี้เป็นค่ามาตรฐานที่อยู่ในเครื่องยนต์เบนซินทุกชนิด  

ประเภทของคอยล์จุดระเบิด

    - คอยล์จุดระเบิดแบบจานจ่าย คอยล์ประเภทนี้จะอยู่ในเครื่องเบนซินในยุคแรก ตัวคอยล์จะอยู่ในตัวจานจ่ายที่วางอยู่ด้านข้างของเครื่องยนต์ การจ่ายไฟของคอยล์จะสัมพันธ์กับการทำงานของเครื่องยนต์ ใช้จังหวะการเคลื่อนที่ของเพลาเป็นตัวควบคุมการจ่ายไฟ  ลักษณะของคอยล์แบบนี้จะใช้สายหัวเทียนเป็นทางเดินกระแสไฟไปยังหัวเทียนที่ห้องเผาไหม้

   - คอยล์จุดระเบิด แบบกึ่งไดเร็ก   อยู่ในเครื่องยนต์เบนซินยุคกลาง เป็นคอยล์ที่ไม่ต้องอาศัยจานจ่าย แต่จะมีเซนเซอร์เพื่อใช้สำหรับตรวจจับการเคลื่อนที่ของเพลา ส่งสัญญาณไปยังกล่อง ECU ประมวลผลแล้วส่งสัญญาณมาควบคุมการจุดระเบิด แต่ยังคงอาศัยสายหัวเทียนในการนำกระแสไฟฟ้าอยู่

    - คอยล์จุดระเบิด แบบไดเร็ก  อยู่ในเครื่องยนต์เบนซินในยุคปัจจุบันเกือบทั้งหมด โดยตัวค

อยล์วางอยู่บนวาวาวล์และต่อตรงลงไปยังหัวเทียนโดยไม่ต้องอาศัย สายหัวเทียน แต่ไดเร็กคอยล์บางรุ่น จะเป็นคอยล์ 1 ตัว ควบคุมการทำาน 2 สูบ ยังคงมีสายหัวเทียนอยู่ คอยล์ประเภทนี้จะพบในรถมิซูตั้งแต่ปี 96-2008 ซูซูกิ APV CARRY SWIFT และ อื่นๆ

 

    ทางเราขอจำแนกคอยล์แบบไดเร็ก เป็น 2 ลักษณะ คือ คอยล์แบบปลดก้านได้  กับ คอยล์ที่ไม่สามารถปลดก้านได้


รูปที่ 1  คอยล์จุดระเบิดแบบปลดก้านไม่ได้
รูปที่ 2  คอยล์จุดระเบิดแบบปลดก้านได้

 

ตัวอย่างคอยล์ที่ไม่สามารถปลดก้านได้ เช่น คอยล์ในตระกูล Toyota ทั้งหมด ยกเว้น Avanza 1.3  ฮอนด้ารหัสเครื่อง K20 K24 D17 R18 R20   Mitsubishi Lancer EX  Triton 2.4    Nissan Neo  อืนๆ



ตัวอย่างคอยล์ที่สามารถปลดก้านได้ เช่น Honda City Jazz, Nissan Cefiro  Teana Tiida, Mitsubishi Lancer Cedia New Lancer, Mazda 3 Mazda2 Tribute 3.0,  Ford Laser Escape อื่นๆ


วิธีสังเกตุว่าคอยล์ปลดก้านได้หรือไม่ได้ ง่ายๆ ครับ ในคอยล์ที่สามารถปลดก้านได้ บริเวณส่วนบนของก้านจะมียางห่อหุ้มอยู่ตามรูปที่ 2   Direct Coil แบบปลดก้านได้มีปัญหามากกว่ารุ่นที่ปลดก้านไม่ได้ สาเหตุหลักๆ ก็มากจาก หน้าสัมผัสภายในก้านสกปรก ต่างจากคอยล์แบบปลดก้านไม่ได้ ที่หน้าสัมผัสทางไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ภายในทำให้อากาศและความชื้นไม่สามารถเข้าไปได้  อากาศและความชื้นที่เข้าไป (โดยเฉพาะท่านที่ชอบล้างห้องเครื่อง)  ทำให้เกิดออกไซด์เกาะที่หน้าสัมผัสทางไฟฟ้าภายใน  ภายในก้านคอยล์จะมีขดลวดสปริงในการนำไฟฟ้าจากตัวคอยล์ไปยังหัวเทียน ก้านคอยล์ของรถแต่ระรุ่นจะแตกต่างกันออกไป บางรุ่นก็มีสปริงเส้นเดียว ต่อลงไปยังหัวเทียน บางรุ่นก็มีสปริงและมีจุดต่อภายในทั้งด้านบนและด้านล่าง  และ บางรุ่นจะมีตัวต้านทานอยู่ภายในตัวก้าน



รูปที่ 3 โครงสร้างก้านคอยล์แบบต่างๆ



ก้านคอยล์ที่มีสปริงเส้นเดียวต่อไปยังหัวเทียน โครงสร้างแบบนี้้ปัญหาน้อยสุด เพราะไม่มีหน้าสัมผัสทางไฟฟ้า ส่วนก้านที่มีปัญหามากที่สุด คือ ก้านที่มีตัวต้านทานอยู่ภายใน ก้านพวกนี้จะอยู่ในรถ Honda Jazz และ City ตั้งแต่ ปี 2003 ทั้งหมด เนื่องจากมีหน้าผัสผัสหลายจุดมาก  วิธีตรวจสอบว่าการนำกระแสของก้านยังสมบูรณ์หรือไม่ ใช้มัลติมิเตอร์วัดดู ถ้ารุ่นที่ไม่มีตัวต้านทานอยู่ภายในต้องวัดได้ 0 โอห์ม  แต่ถ้ารุ่นที่มีตัวต้านทานภายในต้องวัดได้ประมาณ 2 กิโลโอห์ม หากวัดแล้วไม่ขึ้นเลยแสดงว่าหน้าสัมผัสยังคงมีปัญหาอยู่

 

การทำงานของคอยล์จุดระเบิดแบบไดเร็ก

   - แบ่งตามลักษณะการทำงาน ได้ 2 แบบ แบบแรกคือมีตัวควบคุมการจุดระเบิดภายใน  แบบที่สองใช้ตัวควบคุมการจุดระเบิดภายนอก   สังเกตุง่ายๆ รุ่นที่ตัวควบคุมการจุดระเบิดภายในจะมีขั้วต่อทางไฟฟ้าฝั่งไฟแรงดันต่ำ 3 ขั้ว ส่วนรุ่นที่ตัวควบคุมการจุดระเบิดอยู่ภายนอกจะมีขั้วต่อทางไฟฟ้าฝั่งไฟต่ำเพียง 2 ขั้ว   สำหรับรุ่นที่มีขั้วต่อ 2 ขั้ว ฝั่งไฟต่ำจะมีเพียงแค่ชุดขดลวด ไฟสูงจะมีตัวต้านทานต่ออนุกรมอยู่กับขดลวด สามารถใช้มัลติมิเตอร์ตรวจสอบได้  ส่วนรุ่นที่มีขั้วต่อแบบ 3 สาย ต้องอาศัยสัญาณภายนอกมากระตุ้นเพื่อให้คอยล์เริ่มทำงาน สัญญาณที่ใช้ต้องเป็นสัญาณรูปสี่เหลี่ยม ที่มีขนาดแรงดัน  3.3-5 โวลท์ หากใช้แรงดันไฟตรงในการกระตุ้นเพื่อให้คอยล์ทำงานอาจทำให้คอยล์จุดระเบิดเสียหายได้

 

อาการคอยล์เสียมีกี่แบบ?

   2 แบบ อย่างแรกคือ เสียแบบพังไปเลยไฟไม่ออก อันนี้ลองง่ายๆ มีวิธีทดสอบหลายแบบ อย่างแรก ใช้วิธีปลดสายไฟที่เข้าตัวคอยล์ (วิธีนี้รถบางรุ่นหลังปลดสายไฟเข้าคอยล์ ไฟรูปเครื่องจะติดนะครับ ไม่แนะนำสำหรับรถรุ่นใหม่ๆ) ปลดแล้วตัวไหนกำลังเครื่องไม่ตกลงจากเดิมตัวนั้นพัง  สองใช้วิธียกคอยล์ขึ้น ยกสูงนิดนึงเพราะคอยล์บางรุ่นไฟแรงมากระยะกระโดดกระแสไฟได้ 2-3 นิ้ว ยกสูบไหนแล้วกำลังไม่ตกจากเดิมสูบนั้นพัง   หรืออีกวิธียกคอยล์ขึ้นวางบนฝาวาวล์ต่อหัวเทียนลงกราวน์ดูว่ามีประกายไฟที่เขี้ยวหัวเทียนหรือไม่ ถ้าไม่มีพังครับ  หลังจากทดสอบตามข้างต้นแล้วให้ลองสลับตำแหน่งคอยล์ดู เช่น ยกสูบหนึ่งแล้วกำลังไม่ตกลงจากเดิมเราตั้งสมมุติฐานว่า คอยล์สูบนี้พัง  แต่เพื่อความชัวร์ลองย้ายจากสูบ 1 ไปสูบ 2 ดูว่าอาการตามมาที่สูบ 2 หรือไม่ ถ้าไม่ตามแสดงว่า สัญญาณจากกล่องมีปัญหา แต่ถ้าอาการตามมาที่สูบ 2 อันนี้ฟันธงได้เลยว่าคอยล์พัง  อาการเสียแบบที่สอง คือ คอยล์เสื่อมสภาพ การเสื่อมสภาพมีได้ 2 อย่าง 1. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในคอยล์เสื่อม 2.เนื้อพลาสติกที่ห่อหุ้มคอยล์เสื่อมสภาพ   การเสื่อมสภาพทั้ง 2 นี้ หลักๆ มากจากความร้อนของรถยนต์ ภายในคอยล์จะมีขดลวดที่พันทับซ้อนกันเป็นจำนวนมาก โดยขดลวดเหล่านี้จะถูกชุบด้วยฉนวนทางไฟฟ้าเพื่อป้องกันการช๊อตรอบ  แต่ถ้าฉนวนเหล่านี้ละลายและทำให้ขดลวดลัดวงจรถึงกันผลที่ตามมาคือกระแสไฟที่ออกจากคอยล์จะลดลงจากเดิม อันนี้ต้องทดสอบจากระยะกระโดดของกระแสไฟถึงทราบได้หรืออาจจะใช้วิธีตรวจสอบจากกระแสที่ไหลเข้าคอยล์ ในรถบางรุ่นกล่อง ECU สามารถตรวจสอบข้อผิดพบพลาดนี้ได้   ส่วนการเสื่อมสภาพจากเนื้อพลาสติกที่ห่อหุ้มคอยล์เบื้องต้นให้สังเกตุด้วยตาเปล่าว่าคอยล์มีรอยแตกร้อยร้าวหรือไม่แล้วลองเพิ่มความต้านทานของตัวคอยล์โดยใช้เทปพันสายหรือท่อหดหุ้มบริเวณส่วนก้านของคอยล์แล้วขับทดสอบดูถ้าอาการดีขึ้น คอยล์รั่ว

อาการเครื่องยนต์เดินสะดุดนอกจากคอยล์จุดระเบิดแล้วมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง

    ร้อยละ 70-80 % มีสาเหตุมาจากระบบจุดระเบิด  หัวเทียน สายหัวเทียน คอยล์จุดระเบิด  นอกจากระบบไฟจุดระเบิดแล้วอาจมีสาเหตุมาจาก ระบบการจ่ายเชื้อเพลิงหัวฉีด  และเซนเซอร์ต่างๆ ภายในเครื่องยนต์เช่น เซนเซอร์เพลาลูกเบี้ยว
คอยล์ที่ปลดก้านได้เปลี่ยนก้านอย่างเดียวจะหายไหม?
    เปลี่ยนก้านแล้วจะหายหรือไม่หายทางเราตอบไม่ได้ แต่สามารถทดสอบก่อนได้ โดยการใช้เทปพันสายไฟพันรอบก้าน หรือ อาจใช้ท่อหดห่อหุ้มก้านทั้งหมดแล้วลองดูว่าอาการสะดุดของรถดีขึ้นหรือไม่ถ้าดีขึ้น เปลี่ยนก้านใหม่หาย แต่ถ้าไม่ดีขึ้นไม่ต้องเปลี่ยนครับ  แต่เปลี่ยนแล้วจะใช้งานได้อีกนานแค่ไหนก็ตอบไม่ได้ครับ กรณีที่เปลี่ยนก้านใหม่แนะนำให้ทำความสะอาดหน้าสัมผัสทางไฟฟ้าของคอยล์ทั้งหมดทั้งฝั่งไฟต่ำที่มาจาก ECU และ ฝั่งไฟสูง

การเปลี่ยนคอยล์ต้องเป็นยกชุดเลยไหม?

     ส่วนใหญ่ถ้าเอารถเข้าอู่ หรือ ศูนย์บริการ  จะแนะนำให้เปลี่ยนยกชุด  สาเหตุที่ทางอู่หรือ 0

แนะนำให้เปลี่ยนยกชุดก็เนื่องจาก  ไม่ต้องเสียเวลามานั่งตรวจสอบว่าตัวไหนเสีย อีกอย่างถ้าให้ทางอู่จัดหา อะไหล่ก็จะได้กำไรจากสินค้า  อีกประเด็นคือ เนื่องจากอายุการใช้งานของอุปกรณ์พวกนี้จะใกล้เคียงกัน หากเปลี่ยนแค่ตัวเดียวตัวที่เหลืออีกไม่นานก็ต้องพังตาม เลยแนะนำให้ลูกค้าเปลี่ยนทั้งหมดทีเดียว  เท่าที่ขายมาทางเราขอแนะนำถ้าเป็นคอยล์แบบปลดก้านไม่ได้เปลี่ยนเฉพาะตัวที่เสีย แต่ถ้าเป็นรุ่นที่ปลดก้านได้ เปลี่ยนยกชุดครับ รุ่นที่มีคอยล์ 6 ตัว หรือ 8 ตัว ให้เปลี่ยนยกแถว ถ้าเสียแถวหน้าก็เปลี่ยนแถวหน้ายกชุด เสียแถวหลังเปลี่ยนแถวหลังยกชุด ส่วนมากคอยล์ที่อยู่ฝั่งไอเสียจะชำรุดมากกว่าฝั่งไอดี เนื่องจากมีความร้อนสะสมที่ตัวตลอดเวลา

อายุการใช้งานของคอยล์นานแค่ไหน?

      
    เรื่องอายุการใช้งานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ  คอยล์คุณภาพเท่ากันแต่นำไปใส่กับรถคนละคันอายุการใช้งานอาจไม่เท่ากันก็ได้ ปัจจัยหลักที่ทำให้อายุการใช้งานของคอยล์แตกต่างกันคือ ความร้อน หากเครื่องยนต์สามารถถ่ายเทความร้อนได้ปกติ คอยล์มีอายุการใช้งานนานแน่นอน แต่ถ้าระบบระบายความร้อนของรถมีปัญหาก็จะทำให้คอยล์ชำรุดอย่างรวดเร็ว ซึงต้องยอมรับว่ารถที่ใช้งานมานานการถ่ายเทความร้อนของรถจะไม่เหมือนกับรถออกใหม่ป้ายแดงเพราะช่องทางเดินของน้ำทั้งหมดสะอาดน้ำสามารถเดินทางได้สะดวก พัดลมระบายความร้อนหมุนได้เต็มกำลัง   แต่ถ้าเครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมานานช่องทางเดินน้ำจะเริ่มอุดตัน พัดลมระบายความร้อนหมุนได้ไม่เต็มที่ อุณภูมิของเครื่องยนต์จะสูงกว่าปกติ อุณหภูมิที่สูงขึ้นเพียง 1-2 องศา จะทำให้อุปกรณ์ภายในรถเสื่อมสภาภาพเร็วกว่าเดิม ดังนั้นคอยล์ชุดใหม่ที่เปลี่ยนเข้าไปต่อให้เป็นคอยล์แท้ก็ตามอายุการใช้งานก็จะสั้นลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับคอยล์ชุดแรกที่ติดมากับรถ  การดูแลเรื่องระบบถ่ายเทความร้อนของเครื่่องยนต์จะเป็นตัวช่วยยืดอายุอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ให้นานขึ้น การติดเกจวัดอุณหภูมิจะสามารถแสดงอุณหภูมิของเครื่องยนต์ได้อย่างชัดเจน เพราะเกจวัดที่หน้าปัทม์(ในรถรุ่นไม่จะไม่มีเข็มแสดงอุณหภมิ) ค่อนข้างหยาบ ผู้ขับขี่ไม่สามารถแยกแยะอุณหภมิที่สูงขึ้นเพียงเล็กน้อยได้













คลิปทดสอบสินค้่าบางส่วนที่ทางเราจัดทำขึ้น